สารบัญ
- บทนำ
- เชื้อสาเหตุและการติดต่อ
- อาการของโรค
- สายพันธุ์รุนแรงที่ต้องเฝ้าระวัง
- ตัวอย่างผู้ป่วยอาการรุนแรง
- วิธีรักษา
- วิธีป้องกันและลดความเสี่ยง
- สรุป
- Q&A
บทนำ
พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในช่วงปิดเทอม แม้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ยอดผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) ในไต้หวันกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียนระดับประถมและมัธยมต้น ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อเตือนว่า ถึงแม้ส่วนใหญ่เป็นอาการไม่รุนแรง KUBET แต่ก็มีบางรายที่พัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรง เช่น ภาวะพิษช็อกจากเชื้อแบคทีเรีย หรือโรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Necrotizing Fasciitis)
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
สถานการณ์ | ยอดผู้ป่วยโรคไข้อีดำอีแดงในไต้หวันเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว |
กลุ่มเสี่ยง | เด็กนักเรียนระดับประถมและมัธยมต้น |
ความรุนแรงของโรค | ส่วนใหญ่เป็นอาการไม่รุนแรง |
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น | – ภาวะพิษช็อกจากเชื้อแบคทีเรีย – โรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Necrotizing Fasciitis) |
คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ | ควรเฝ้าระวังอาการและรีบพบแพทย์หากอาการรุนแรง |
เชื้อสาเหตุและการติดต่อ
เชื้อสาเหตุ: A Streptococcus ศาสตราจารย์นายแพทย์ชิว เจิ้งซวิ่น รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลชางกุง KUBET เมืองหลินโข่ว ระบุว่า ไข้อีดำอีแดงมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย A Streptococcus โดยติดต่อผ่านทางฝอยละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ
อาการของโรค
อาการที่พบได้แก่:
- ไข้สูง
- เจ็บคอ
- ผื่นแดงทั่วตัว
- ลิ้นมีลักษณะคล้ายผิวของสตรอว์เบอร์รี (เรียกว่า “ลิ้นสตรอว์เบอร์รี”)
สายพันธุ์รุนแรงที่ต้องเฝ้าระวัง
ตรวจพบสายพันธุ์รุนแรง M1 UK เชื้อ A Streptococcus มีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ M12 ที่พบได้ทั่วไปในไต้หวัน มักทำให้เกิดอาการไม่รุนแรง แต่สายพันธุ์ M1 โดยเฉพาะ M1 UK KUBET ซึ่งเคยระบาดในประเทศอังกฤษ มีความรุนแรงสูง อาจทำให้เกิดภาวะพิษช็อกและการติดเชื้อแบคทีเรียกินเนื้อได้ ปัจจุบันมีการตรวจพบสายพันธุ์นี้ในไต้หวันแล้ว KUBET แม้ยังไม่แพร่กระจายเป็นวงกว้าง แต่ต้องเฝ้าระวัง

ตัวอย่างผู้ป่วยอาการรุนแรง
มีรายงานว่าเด็กชายวัย 8 ปีคนหนึ่ง เริ่มต้นมีอาการแค่ไข้และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ KUBET แต่ภายใน 2 วันเกิดความดันโลหิตตก มีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย และเข้าสู่ภาวะช็อก ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ศ.นพ.ชิว ระบุว่า เชื้อแบคทีเรียสามารถปล่อยสารพิษที่กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองรุนแรง ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกายและอวัยวะล้มเหลวอย่างรวดเร็ว KUBET
วิธีรักษา
- ใช้ยาปฏิชีวนะทันทีที่ตรวจพบการติดเชื้อ
- หากมีอาการรุนแรง เช่น ช็อก หรือผื่นกระจายรวดเร็ว ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล
- การรักษาอาจรวมถึงการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด, ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิต, และอิมมูโนโกลบูลินเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
วิธีป้องกันและลดความเสี่ยง
ช่วงปิดเทอมซึ่งมีกิจกรรมรวมกลุ่มจำนวนมาก KUBET เช่น ค่ายเรียนพิเศษ หรือกิจกรรมในร่ม ควรดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ดังนี้:
- สวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- หากมีไข้ เจ็บคอ หรือผื่น KUBET ควรหยุดเรียนและพบแพทย์ทันที
สรุป
แม้โรคไข้อีดำอีแดงส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง KUBET แต่การติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรงสามารถนำไปสู่ภาวะช็อกหรืออาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียน ควรเฝ้าระวังอาการในเด็กอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญกับสุขอนามัยพื้นฐานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด หากต้องการสื่อประชาสัมพันธ์หรือใบความรู้สำหรับแจกเด็กและผู้ปกครองเกี่ยวกับการป้องกันโรคนี้ ผมสามารถช่วยจัดทำให้ได้นะครับ KUBET
Q&A
- โรคไข้อีดำอีแดงเกิดจากเชื้ออะไร และติดต่อได้อย่างไร?
ตอบ: โรคไข้อีดำอีแดงเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย A Streptococcus โดยติดต่อผ่านฝอยละอองน้ำลายหรือสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอหรือจาม - อาการสำคัญของโรคไข้อีดำอีแดงมีอะไรบ้าง?
ตอบ: อาการที่พบได้แก่:- ไข้สูง
- เจ็บคอ
- ผื่นแดงทั่วตัว
- ลิ้นมีลักษณะคล้ายผิวของสตรอว์เบอร์รี (“ลิ้นสตรอว์เบอร์รี”)
- สายพันธุ์แบคทีเรียใดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ และมีอันตรายอย่างไร?
ตอบ: สายพันธุ์ M1 UK ของเชื้อ A Streptococcus มีความรุนแรงสูง อาจทำให้เกิดภาวะพิษช็อก (toxic shock) และโรคแบคทีเรียกินเนื้อ (Necrotizing Fasciitis) ซึ่งอาจรุนแรงถึงชีวิต - วิธีป้องกันโรคไข้อีดำอีแดงที่แนะนำมีอะไรบ้าง?
ตอบ:- สวมหน้ากากอนามัยในที่แออัด
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- หากมีอาการไข้ เจ็บคอ หรือผื่น ควรหยุดเรียนและรีบพบแพทย์
- หากติดเชื้อไข้อีดำอีแดง ควรรักษาอย่างไร?
ตอบ:- ให้ยาปฏิชีวนะทันที
- หากมีอาการรุนแรง เช่น ช็อกหรือผื่นลามเร็ว ควรเข้ารักษาในโรงพยาบาล
- การรักษาอาจรวมถึงยาฉีดทางหลอดเลือด, ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิต และอิมมูโนโกลบูลิน
เนื้อหาที่น่าสนใจ: