สารบัญ
- บทนำ
- ทีมแพทย์จาก รพ.ไต้หวันช่วยชีวิตจนรอดปาฏิหาริย์
- อีกหนึ่งกรณีรอดชีวิตจากหัวใจล้มเหลว
- ความสำคัญของการฟื้นฟูหลังภาวะหัวใจหยุดเต้น
- ทำไมการ “ควบคุมอุณหภูมิ” ถึงสำคัญต่อการฟื้นฟูสมอง
- ความสำเร็จของการรักษาในระดับนานาชาติ
- ลดความเสี่ยงเสียชีวิตกระทันหัน ต้องรู้เร็ว-ช่วยไว
- สรุป: จากความหวังสู่ชัยชนะของชีวิต
- Q&A
บทนำ
ณซ่ง อายุ 40 กว่า เป็นผู้ที่หลงใหลในการวิ่งมาราธอน ขณะร่วมแข่งขันมาราธอนที่ไทเปเมื่อปีก่อน เขารู้สึก “คอแน่น” คิดว่าเป็นแค่หวัดเล็กน้อย KUBETจึงกินยาแก้ปวด 2 เม็ดแล้ววิ่งต่อไป แต่เมื่อพยายามเร่งฝีเท้า ก็ล้มลงและหมดสติกลางสนาม หัวใจและการหายใจหยุดลงทันที

ทีมแพทย์จาก รพ.ไต้หวันช่วยชีวิตจนรอดปาฏิหาริย์
หลังได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTUH) เขาได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) KUBETเป็นเวลาสองสัปดาห์ ก่อนจะฟื้นตัวและสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ที่สำคัญคือเขากลับไปร่วมมาราธอนอีกครั้งในสถานที่เดิม KUBETพร้อมกล่าวว่า “ที่ไหนล้มลง ก็ต้องกลับมาวิ่งที่นั่นอีก”
อีกหนึ่งกรณีรอดชีวิตจากหัวใจล้มเหลว
คุณอู๋ ซึ่งหัวใจหยุดเต้นนานถึง 20 นาทีจากอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้รับการรักษาด้วยการใส่ขดลวดหัวใจ (stent) และเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ (defibrillator) แม้ต้องนอน ICU ถึง 2 วัน แต่สุดท้ายก็ฟื้นตัว ปัจจุบันกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ KUBETพร้อมกล่าวว่าถือวันที่ 24 พฤษภาคมเป็น “วันเกิดใหม่”
ความสำคัญของการฟื้นฟูหลังภาวะหัวใจหยุดเต้น
ดร.ไช่ หมินซาน ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์การฟื้นคืนชีพ โรงพยาบาล NTUH เปิดเผยว่า
ไต้หวันมีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันปีละ 21,000–22,000 คน แม้สามารถปั๊มหัวใจให้กลับมาเต้นได้ใน 50% ของกรณี แต่มีเพียง <10% ที่รอดออกจากโรงพยาบาล และเพียง 1% ที่ระบบประสาทกลับมาเป็นปกติ
ทำไมการ “ควบคุมอุณหภูมิ” ถึงสำคัญต่อการฟื้นฟูสมอง
เมื่อหัวใจหยุดเต้น การไหลเวียนของเลือดจะหยุดทันที ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจน KUBETซึ่งทนได้เพียง 6 นาที หากเกินกว่านี้จะเริ่มเกิดความเสียหาย ดังนั้นวิธีการรักษาที่สำคัญคือการ “ลดอุณหภูมิของร่างกาย” ลงมาอยู่ในช่วง 32–36 องศาเซลเซียส KUBET เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิกลับสู่ปกติ เทคนิคนี้กลายเป็นหนึ่งในมาตรฐานการดูแลฟื้นฟูที่สำคัญของ NTUH
ความสำเร็จของการรักษาในระดับนานาชาติ
จากข้อมูลของ NTUH
- 67% ของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันที่เข้ารับการรักษาฟื้นคืนชีพ KUBETสามารถรอดชีวิต
- 36% ของผู้รอดชีวิตสามารถออกจากโรงพยาบาล
- 24% ของผู้รอดชีวิตมีการฟื้นตัวของระบบประสาทอย่างดี
- ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 ถึงปัจจุบัน NTUH ได้ติดตามผู้รอดชีวิต 107 ราย
ลดความเสี่ยงเสียชีวิตกระทันหัน ต้องรู้เร็ว-ช่วยไว
ดร.จาง เวยเตียน หัวหน้าแผนกฉุกเฉิน NTUH ชี้ว่า สาเหตุของหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันมักเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือโรคหัวใจโครงสร้าง KUBETการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญในการช่วยชีวิต KUBET หากทำได้ทันเวลา โอกาสรอดชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
สรุป: จากความหวังสู่ชัยชนะของชีวิต
เรื่องราวของคุณซ่งและคุณอู๋ เป็นตัวอย่างของความสำคัญของการช่วยชีวิตอย่างทันท่วงที และระบบการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยหลังหัวใจหยุดเต้นที่มีประสิทธิภาพสูง ณ โรงพยาบาล NTUH ทำให้ผู้ป่วยไม่เพียงแค่รอดชีวิต KUBET แต่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง
Q&A
คำถาม 1:
Q: อาการ “คอแน่น” ที่คุณซ่งรู้สึกก่อนหมดสติในการวิ่งมาราธอน สื่อถึงอะไรได้บ้าง?
A: อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ซึ่งนำไปสู่หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ แม้อาการจะดูเหมือนเล็กน้อยก็ตาม
คำถาม 2:
Q: การควบคุมอุณหภูมิหลังหัวใจหยุดเต้นมีความสำคัญอย่างไร?
A: ช่วยลดความเสียหายของสมองจากการขาดออกซิเจน โดยลดอุณหภูมิของร่างกายลงมาอยู่ในช่วง 32–36°C ช่วยป้องกันภาวะสมองเสียหายถาวร
คำถาม 3:
Q: อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในไต้หวันมีเท่าไหร่?
A: ประมาณ 50% สามารถปั๊มหัวใจกลับมาเต้นได้ แต่มีเพียง <10% ที่รอดออกจากโรงพยาบาล และเพียง 1% ที่ระบบประสาทกลับมาเป็นปกติ
คำถาม 4:
Q: โรงพยาบาล NTUH มีสถิติการรักษาผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นอย่างไรบ้าง?
A: จากผู้รอดชีวิต 107 รายที่ติดตาม: 67% รอดชีวิต, 36% ออกจากโรงพยาบาล, และ 24% มีระบบประสาทฟื้นตัวดี
คำถาม 5:
Q: ปัจจัยสำคัญที่สุดในการช่วยชีวิตผู้ที่หัวใจหยุดเต้นคืออะไร?
A: การรู้เร็วและช่วยทันเวลา โดยเฉพาะการปฐมพยาบาลและฟื้นคืนชีพเบื้องต้นอย่างถูกต้อง ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มาก
เนื้อหาที่น่าสนใจ: